MACD Forex คืออะไร และ MACD color – การตั้งค่า MACD ที่เหมาะสม
MACD เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิค การค้นพบ MACD indicator ที่จะช่วยคุณ “คาดการณ์” จุดเปลี่ยนของตลาด, การเพิ่มอัตราการชนะของคุณ, และระบุการทะลุฝ่าแนวรับแนวต้าน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง
MACD คืออะไร
The Moving Average Convergence/Divergence oscillator – MACD คือ หนึ่งใน indicator ที่ง่ายที่สุด และเป็น indicator momentum ที่มีประสิทธิภาพที่สุด MACD คือ การกลับมาที่สองอย่างคือ trend-following forex indicators, moving averages, เป็น momentum oscillator โดยการลบเส้น moving average ที่ยาวกว่า จากอีกเส้นที่สั้นกว่า เป็นผลให้, ได้ ค่า MACD ที่เหมาะสม และได้ผลที่ดีที่สุดจากทั้งสองอย่างนี้: trend following และ momentum
MACD คือ การผันผวนอยู่บนกว่าหรือต่ำกว่าเส้นศูนย์เหมือนกับการบรรจบกันของเส้น moving average, ตัดกันและแยกจากกัน นักเทรดสามารถดูเส้นสัญญาณที่ตัดข้ามกัน, ตัดเส้นกึ่งกลาง และ ความขัดแย้งกันในการสร้างสัญญาณ เนื่องจาก MACD ไม่มีขอบเขตจำกัด, ไม่ได้มีประโยชน์ในการใช้ระบุระดับของ overbought และ oversold
นี่คือตัวอย่างของกราฟที่ใช้ MACD forex indicator ในกรอบด้านล่าง:
อ่านต่อหรือเปิดบัญชี และเริ่มเทรด forex และสังเกตว่า MACD คืออะไรในเวลาจริง โดย ใช้โค้ด WELCOME20 เพื่อลงทะเบียนรับโบนัสฟรี 20$ แบบไม่ต้องฝากเงิน
การตั้งค่า MACD
เส้น MACD เป็นเส้น Exponential Moving Average (EMA) 12-วัน หักออกจาเส้น EMA 26-วัน ราคาปิดถูกใช้สำหรับ moving average เหล่านี้ ส่วนเส้น EMA 9-วัน ของเส้น MACD จะถูกวาดด้วยตัวชี้วัดที่แสดงเหมือนเส้นสัญญาณ และระบุการกลับตัว กราฟจะแสดงค่า MACD ที่เหมาะสม ที่จะแสดงความแตกต่างระหว่าง MACD และเส้น EMA 9-วัน, เป็นเส้นสัญญาณ กราฟแสดงค่าเป็นบวกเมื่อเส้น MACD อยู่เหนือเส้นสัญญาณ และเป็นลบเมื่อเส้น MACD อยู่ใต้เส้นสัญญาณ
ค่าของ 12, 26 และ 9 เป็นการตั้งค่าทั่วไป และเหมาะสมกับการตั้งค่า MACD, ถึงแม้ว่าค่าอื่นๆก็สามารถใช้ได้เช่นเดียวกันขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรด และเป้าหมายของคุณ
อ่านต่อสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมว่า MACD คือ อะไร หรือเริ่มเล่นใน บัญชีทดลองที่ปราศจากความเสี่ยง และทดสอบ การตั้งค่า MACD ที่เหมาะสมที่สุด ในเวลาจริง
การใช้ MACD – สัญญาณการเทรด
ตามชื่อที่แสดง, การใช้ MACD forex indicator ทั้งหมดเกี่ยวกับการบรรจบกันและการแยกจากกัน (convergence and divergence) ของเส้นทั้งสองของ moving average การบรรจบกันของเส้นเมื่อ moving average เคลื่อนที่ไปหากันและกัน ส่วนการแยกกันของเส้นเมื่อ moving average เคลื่อนที่ออกจากกันและกัน เส้น moving average ที่สั้นกว่า (12-วัน) จะเร็วกว่าและตอบสนองกับการเคลื่อนที่ MACD ได้มากที่สุด ส่วน moving average ที่ยาวกว่า (26-วัน) จะช้ากว่าและมีผลน้อยกว่ากับราคาที่เปลี่ยนแปลงภายใต้หลักทรัพย์ที่ปลอดภัย
เส้น MACD จะแกว่งตัวเหนือเส้นหรือใต้เส้นศูนย์, หรือที่รู้กันว่าเป็นเส้นกึ่งกลาง ซึ่งสัญญาณการตัดข้ามกันเหล่านี้คือเส้น EMA 12-วัน ตัดกับเส้น EMA 26-วัน ทิศทางที่แน่นอนขึ้นอยู่กับทิศทางของ moving average ที่ตัดกัน MACD ในแง่บวกจะบ่งชี้ว่าเส้น EMA 12-วัน อยู่เหนือเส้น EMA 26-วัน ค่าในแง่บวกเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับ EMA ที่สั้นกว่าเคลื่อนที่แยกออกจากเส้นEMA ที่ยาวกว่า นั่นหมายความว่าโมเมนตัมที่กลับหัวขึ้นนั้นกำลังเพิ่มขึ้น ส่วนค่าในแง่ลบของ MACD บ่งชี้ว่าเส้น EMA 12-วัน อยู่ใต้เส้น EMA 26-วัน ค่าในแง่ลบนี้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับเส้น EMA ที่สั้นกว่า แยกออกไปต่ำกว่าเส้น EMA ที่ยาวกว่า นั้นหมายถึงโมเมนตัมที่กลับหัวลงนั้นกำลังจะเพิ่มขึ้น
ในตัวอย่างการเทรด forex ด้านบน, พื้นที่สีเหลืองแสดงให้เห็นเส้น MACD ในแง่ลบเช่นเดียวกับการเทรดที่เส้น EMA 12-วัน อยู่ต่ำกว่าเส้น EMA 26-วัน การเริ่มต้นตัดกันที่เกิดขึ้นตอนสิ้นเดือน September (ลูกศรสีดำ) และการเคลื่อนที่ของ MACD ไปยังพื้นที่การติดลบ เหมือนกับเส้น EMA 12-วัน แยกจากเส้น EMA 26-วัน ส่วนพื้นที่ที่ไฮไลท์สีส้มไว้เป็นช่วงของค่า MACD ในแง่บวก, ที่เมื่อเส้น EMA 12-วัน อยู่เหนือเส้น EMA 26-วัน จะสังเกตได้ว่าเส้น MACD ที่เหลือเพียง1เส้นระหว่างในช่วงนี้ (เส้นประสีแดง) นั่นหมายความว่าระยะห่างระหว่างเส้น EMA 12-วัน และเส้น EMA 26-วัน นั้นน้อยกว่า1จุด, ซึ่งไม่แตกต่างกันมาก
การตัดกับเส้นกึ่งกลาง MACD
การตัดกับเส้นกึ่งกลางเป็นเรื่องพื้นฐานในการใช้สัญญาณ MACD ตลาดขาขึ้นที่เกิดขึ้นในการตัดเส้นกึ่งกลาง จะเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD เคลื่อนที่เหนือเส้นศูนย์เพื่อกลับขึ้นมาเป็นแดนบวก สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเส้น EMA 12-วัน ของสินทรัพย์ปลอดภัย เคลื่อนที่เหนือเส้น EMA 26-วัน ตลาดขาลงตัดกับเส้นกึ่งกลางเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD เคลื่อนที่ต่ำกว่าเส้นศูนย์เพื่อกลับไปแดนลบ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น EMA 12-วัน เคลื่อนที่ต่ำกว่าเส้น EMA 26-วัน
กาตัดกับเส้นกึ่งกลางสามารถอยู่ได้ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน, ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแนวโน้ม MACD จะคงอยู่ในแดนบวกตราบใดที่ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น MACD ยังจะคงอยู่ในแดนลบเมื่อยังเป็นแนวโน้มขาลงอยู่ กราฟถัดไปจะแสดงให้เห็น Pulte Homes (PHM) ที่ตัดกับเส้นกึ่งกลางอย่างน้อยสี่ครั้งภายในระยะเวลาเก้าเดือน ผลของสัญญาณที่ใช้งานได้ดีเนื่องจากแนวโน้มที่แข็งแรงกับการตัดกันกับเส้นกึ่งกลาง
Divergence เกิดขึ้นเมื่อ MACD ขัดแย้งจากการเคลื่อนไหวราคาของสินทรัพย์อ้างอิง ตลาดขาขึ้นมีการแยกออกจากกัน เมื่อหลักทรัพย์เกิด lower low และ MACD เกิดการ higher low ซึ่งการเกิด lower low ในหลักทรัพย์เป็นการยืนยันแนวโน้มขาลงในปัจจุบัน, แต่ higher low ใน MACD แสดงถึงโมเมนตัมที่กลับตัวลดลงในอัตรที่น้อยกว่าเดิม แม้จะมีการลดลง แต่โมเมนตัมในเชิงลบยังคงแซงหน้าโมเมนตัมขาขึ้น ตราบใดที่ MACD ยังคงอยู่ในแดนลบ การชะลอของโมเมนตัมขาลงสามารถคาดการณ์การกลับตัวของแนวโน้ม หรือราคาตีกลับขึ้นไปอย่างมาก
Bearish divergence เกิดขึ้นเมื่อหลักทรัพย์เป็น higher high และเส้น MACD เกิดเป็น lower high ซึ่ง higher high ในหลักทรัพย์นั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับแนวโน้มขาขึ้น, แต่ lower high ใน MACD แสดงค่าโมเมนตัมขาขึ้นที่มีอัตราการขึ้นน้อยกว่า ถึงแม้โมเมนตัมขาขึ้นอาจจะน้อย, โมเมนตัมขาขึ้นก็ยังเร็วกว่าโมเมนต่ำขาลง ตราบใดที่ MACD ยังอยู่ในแดนบวก การเพิ่มขึ้นของโมเมนตัมในบางครั้งสมารถคาดการณ์การเกิดการกลับตัวของแนวโน้ม หรือการลดต่ำลงอย่างมาก
Divergence ควรจะต้องมีการระมัดระวัง, Bearish divergence เป็นเรื่องธรรมดาของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรง, ขณะที่ bullish divergences เกิดขึ้นบ่อยในแนวโน้มขาลงที่แข็งแรง ใช่, คุณอ่านถูกแล้ว ซึ่งแนวโน้มขาขึ้นมักเริ่มเคลื่อนตัวที่แข็งแกร่งที่ก่อให้เกิดการแกว่งตัวในโมเมนตัมขาขึ้น (MACD) ถึงแม้ว่าแนวโน้มขาขึ้นจะไปต่อ, ก็จะไปต่อในอัตราที่ช้าลงนั่นเป็นสาเหตุให้ MACD ลดลงมาจาก high เดิม และโมเมนตัมขาขึ้นอาจจะไม่แข็งแรง, แต่มันจะไปต่อแรงกว่าโมเมนตัมขาลง ตราบใดที่เส้น MACD ยังอยู่เหนือเส้นศูนย์ การเกิดตรงกันข้ามที่จุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลงที่แข็งแรง
MACD color for MetaTrader 5
ตามหัวข้อของ indicator ที่แนะนำ, MACD Color สำหรับ Metatrader 5 ใช้ฮีสโตแกรม และเส้นสัญญาณในการสร้างสัญญาณเทรดในการซื้อและการขาย โดยไม่ล่าช้า
ตัวชี้วัดที่สำคัญคือ Moving Average Convergence/Divergence (MACD), ด้วยการหน่วงเวลาเป็นศูนย์บวกกับสีที่ปรากฎ
มีสีเขียวและสีแดงในฮีสโตแกรมที่แสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นและลดลงของ MACD ตามลำดับ, ขณะที่เส้นสีน้ำเงินเป็นเส้นสัญญาณ
ตัวชี้วัดนี้ MACD color มีความคล้ายคลึงกันมากกับการตั้งค่า MACD แบบเดิม, และผู้ใช้สามารถใช้เทคนิคต่างๆ ในการจำแนกทิศทางของตลาดที่เป็นไปได้
สัญญาณ MACD color
- สัญญาณซื้อ: ทำการซื้อเมื่อฮีสโตแกรม (เขียวและแดง) และเส้นสัญญาณสีน้ำเงินของ the Colored Zerolag MACD Metatrader 5 forex indicator แสดงขึ้นเหนือระดับสัญญาณศูนย์
- สัญญาณขาย: ทำการขายเมื่อฮีสโตแกรม (เขียวและแดง) ตามด้วยเส้นสัญญาณสีน้ำเงินของ the Colored Zerolag MACD Metatrader 5 forex indicator หลุดลงมาจากตรงกลางศูนย์
- ออกจากการซื้อ: ปิดออเดอร์ซื้อทั้งหมดถ้าขณะที่แนวโน้มขาขึ้นกำลังวิ่งอยู่, เส้นสัญญาณสีน้ำเงินของ the Colored Zerolag MACD indicator หลุดลงมากจากกึ่งกลางเส้นศูนย์
ออกจากการขาย: ปิดออเดอร์ขายทั้งหมดถ้าขณะที่แนวโน้มขาลงกำลังวิ่งอยู่, เส้นสัญญาณสีน้ำเงินของ the Colored Zerolag MACD indicator แกว่งขึ้นเหนือกึ่งกลางเส้นศูนย์
เคล็ดลับ: เมื่อพิจารณาจาก indicator MACD color ที่ส่งสัญญาณที่เร็วกว่า MACD แบบเดิม, scalpers สามารถได้เปรียบจากสิ่งนี้เมื่อเทรดในกรอบเวลาที่เล็กลง
การตั้งค่า the MACD ใน MetaTrader 4/5
ในส่วนนี้จะแสดงให้คุณเห็นวิธีการตั้งค่า the moving average convergence divergence (MACD) indicator ใน MetaTrader 5.
เพิ่ม MACD และตั้งค่าเริ่มต้นของอินดิเคเตอร์นี้
- คลิก Insert และเคลื่อนเม้าส์ของคุณเหนือ indicator และ trend
- คลิก MACD
ตั้งค่าเริ่มต้นทั่วไป
- การคำนวณของ indicator: เช่น ตัวเลขของช่วงที่ใช้สำหรับ MACD (คุณไม่ต้องกังวลมากเกี่ยวกับสิ่งนี้ในการเริ่มต้น)
- ลักษณะจริงของ indicator: เช่น มันมีลักษณะอย่างไร, สี และ ความหนาของเส้น, อื่นๆ
เมนูตั้งค่าเริ่มต้นจะปรากฎอีกครั้งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลง indicator ได้
การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า MACD
การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าของ MACD indicator ทำได้โดยตรงบนกราฟ:
- คลิกขวาที่ MACD – คุณจะมีเส้นของ indicator เพื่อรับเมนูที่จะเห็นในด้านล่าง
- เลือก MACD-2 (13,17,9) – ตัวเลข 13, 17 และ 9 อ้างถึงตัวเลขของช่วงเวลาอินดิเคเตอร์ที่ขึ้นอยู่กับการคำนวณ และคุณสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าได้
การลบ MACD indicator
- คลิกขวาที่ indicator ที่คุณต้องการลบ – คุณจะมีเส้นของ indicator เพื่อรับเมนูที่จะเห็นในด้านล่าง
- คลิก Delete Indicator
สุดท้ายเกี่ยวกับ MACD indicator
MACD indicator มีความพิเศษเพราะว่ามันสามารถนำโมเมนตัมและแนวโน้มมารวมกันในหนึ่งอินดิเคเตอร์ นี่เป็นความพิเศษในการผสมผสานระหว่างแนวโน้มและโมเมนตัมที่สามารถนำมาใช้ในกราฟวัน, สัปดาห์ และเดือนได้ การตั้งค่า MACD ที่เหมาะสม เป็นความแตกต่างระหว่างเส้น EMA 12- และ 26-period นักกราฟที่มองหาความตอบสนองที่รวดเร็วอาจจะลองใช้ short-term moving average ที่สั้นกว่า และ long-term moving average ที่ยาวกว่า MACD(5,35,5) จะมีการตอบสนองที่เร็วกว่า MACD(12,26,9) และอาจจะเหมาะสมกว่าสำหรับกราฟสัปดาห์ นักกราฟที่มองหาการตอบสนองที่น้อยกว่าอาจจะพิจารณา moving averages ที่ยาว ซึ่ง MACD ที่ตอบสนองน้อยกว่าจะแกว่งตัวอยู่บนหรือล่างเส้นศูนย์, แต่จะตัดเส้นกึ่งกลาง และตัดเส้นสัญญาณ บ่อยครั้งน้อยกว่า
The MACD จะไม่ค่อยดีเกี่ยวกับการระบุระดับ overbought และ oversold ถึงแม้ว่าจะเป็นไปได้ที่จะระบุระดับที่เป็น overbought หรือ oversold ที่ผ่านมา, MACD ไม่มีจำกัดสูงกว่า หรือ ต่ำกว่า ในการเคลื่อนที่ ซึ่งระหว่างการเคลื่อนไหว, MACD สามารถไปต่อได้อย่างต่อเนื่องมากกว่าในอดีต
สุดท้าย, จำไว้ว่าเส้น MACD เป็นการคำนวณความแตกต่างระหว่างสองเส้น moving average ความหมายของค่า MACD ขึ้นอยู่กับราคาของหลักทรัพย์ที่กำหนด ค่า MACD สำหรับหุ้น $20 อาจจะอยู่ในช่วง -1.5 ถึง 1.5, ขณะที่ค่า MACD สำหรับ $100 อาจอยู่ในช่วงจาก -10 ถึง +10 ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในการเปรียบเทียบค่า MACD สำหรับกลุ่มของหลักทรัพย์ที่ราคาหลากหลาย
ทำความเข้าใจ วิธีใช้ MACD indicator ที่ถูกต้อง และการตั้งค่า MACD นั้นสำคัญ, แต่ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ, MetaTrader 5 AM Broker ให้คุณใช้เครื่องมือ MACD และผู้สอนของเราสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ลองเล่นผ่าน บัญชีทดลอง และสังเกต วิธีที่ MACD indicator และ ค่า MACD ที่เหมาะสม ที่สามารถทำเงินให้คุณได้อย่างจริงจัง อีกทางเลือกหนึ่ง, ใช้ EA Forex Builder และสร้างกลยุทธ์การเทรดอัตโนมัติโดยใช้ MACD เพียงไม่กี่คลิก, โดยไม่ต้องเขียนโค้ดใดๆ
เขียน ea forex ด้วยตัวคุณเอง เพียงไม่กี่คลิก – โปรแกรมช่วยเขียน EA Forex
Macd forex คืออะไร และ macd color – การตั้งค่า macd ที่เหมาะสม
2020-07-24T20:44:11.137-07:00 STOCHASTICS STOCHASTICS
STOCHASTICS คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง
เส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS
เส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %K
%K = ราคาปิด (วันนี้) – ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) – ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
%D = ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K
ความหมายของระดับ 0% และ 100%
ระดับ 0% หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%
ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้ STOCHASTIC อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT มากกว่า
STOCHASTICS คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง
เส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS
เส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %K
%K = ราคาปิด (วันนี้) – ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) – ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
%D = ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K
ความหมายของระดับ 0% และ 100%
ระดับ 0% หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%
ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้ STOCHASTIC อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT มากกว่า
STO จะมีสองเส้นมาให้ใช้งาน ประกอบด้วย เส้น %K เส้นหลัก กับเส้น %D เส้นรอง โดยเราจะยึดดู %K เป็นหลัก
หาก %K ตัด %D ขึ้นมาได้ จะเป็นสัญญาณซื้อ
และหาก %K ตัด %D ลงมา จะเป็นสัญญาณขาย
2. Overbought กับ Oversold (สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป และขายมากเกินไป)
เครื่อง มือชนิดนี้ จะแกว่งตัวในกรอบ 0-100 แต่ในทางเทคนิค เขาจะมีโซนตัวเลขให้พิจารณาอยู่สองโซนด้วยกันครับ โดยยึดค่า %K เป็นหลักนะครับ
โซน แรกคือ โซนตัวเลข 0-20% โซนนี้ จัดให้อยู่ในโซน “Oversold หรือสภาวะที่มีการขายหุ้นมากเกินไป” และโซนที่สองคือโซนตัวเลข 80-100% จะจัดให้อยู่ใน “สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป หรือ Overbought”
3. Bullish Divergence และ Bearish Divergence
สำหรับประเด็นนี้ แนวคิดต่างๆ ก็จะเหมือนกับ MACD และ RSI ครับ
เมื่อใดที่เกิด Divergence ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นนัยว่า หุ้นจะเปลี่ยน Trend ในอนาคตอันใกล้นี้
การเกิด Divergence แต่ละครั้ง มักจะใช้เวลาที่มากพอสมควรในการก่อตัวเป็นรูปร่าง Divergence
และหากเกิด Divergence ในเขต Overbought หรือ Oversold ก็ยิ่งถือว่ามีนัยยะด้วยครับ
หลักการอ่าน STOCHASTICS
สัญญาณ เตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น
สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง
2020-07-24T20:38:31.897-07:00 Moving Average Moving Average
Moving Average หรือ เส้นค่าเฉลี่ย เป็นเส้นที่คำนวณค่าเฉลี่ยของการวิ่งของราคาออกมาจากแท่งเทียน แท่งเทียนจะประกอบไปด้วย COLH
หรือ Close Open Low High เส้นค่าเฉลี่ยจะคำนวณออกมาจากแนวเหล่านี้โดยผู้เทรดสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เส้นค่าเฉลี่ยคำนวนจากอะไร
อาจจะเป็น Close ของแท่งเทียนอย่างเดียวหรือเอาจาก High ของแท่งเทียนอย่างเดียว ซึ่งผู้เทรดสามารถเลือกปรับได้ตามรูปด้านล่างนี้ครับ
Close = จุดปิดของแท่งเทียน
Open = จุดเปิดของแท่งเทียน
High = จุดสูงสุดของแท่งเทียน
Low = จุดต่ำสุดของแท่งเทียน
Medium Price (HL/2) = เอาค่าระหว่าง High และ Low มาบวกกันแล้วหารด้วย 2
Typical Price (HLC/3) = เอาค่าระหว่าง High,Low และ Close มาบวกกันแล้วหารด้วย 3
Weighted Close (HLCC/4) = เอาค่าระหว่าง High, Low, Close, Close มาบวกกันแล้วหารด้วย 4
กลยุทธ์ การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของราคาตัวนั้น
ว่า การกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ผู้เทรดสามารถตั้งค่าของเส้นค่าเฉลี่ยได้ในช่อง “Period” โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่
5 วัน (1 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
10 วัน (2 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
25 วัน (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
75 วัน (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
200 วัน (ประเมาณ 1 ปี) ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว
ชนิดของเส้น Moving Average
เส้นค่าเฉลี่ยที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันมีอยู่ 2 ประเภทคือ
Simple Moving Average (SMA)
Exponential Moving Average (EMA)
Simple Moving Average หน้าที่ของมันคือหาค่าเฉลี่ยของราคา ในช่วงเวลาที่เรากำหนด ส่วน EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average
ซึ่ง การทำงานของมันคือ เป็นการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่ชื่อ SMOOTHING FACTOR สูตรมันก็มีว่า 2/(n+1)
ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น
แล้ว SMA กับ EMA ต่างกันอย่างไร?
การ เคลื่อนที่ SMA จะช้ากว่า EMA โดยถ้าเราจะเล่นแบบตัดกันแล้วเข้า เราก็ใช้ EMA จะให้ความแม่นยำกว่า ส่วน SMA นั้นนะครับ มันจะเป็นแนวรับแนวต้านให้เราได้ดีกว่า
เพราะเป็นการคำนวนฐานต้นทุนของ นักลงทุนจริงๆแต่สำหรับราคาของคู่เงินบางตัวก็ใช้ EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA มันก็ขึ้นอยู๋กับเราเลือกใช้เพื่อจุดประสงค์อะไร
( โดยส่วนตัวใช้ SMA เป็นแค่แนวรับแนวต้านธรรมดา )
ตัวอย่างการใช้ Moving Average
เส้น ค่าเฉลี่ยที่ผมใช้โดยส่วนใหญ่จะมี EMA 5 10 สองเส้นนี้จะเอาไว้ดูการตัดกัน เพื่อเข้าออเดอร์ และ EMA 55 110 220 สามเส้นนี้จะเอาไว้เป็นแนวรับแนวต้าน
1. ถ้าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แล้วมีการปรับตัวลงมา เส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 จะกลายเป็นแนวรับทันที ถ้าราคาไม่สามารถผ่านเส้นเหล่านี้ได้ ราคาก็จะกลับตัวขึ้นไปสู่แนวโน้มขา
ขึ้นเดิมอีกครั้งและถ้าราคาสามารถทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 ลงมาได้ แนวโน้มก็จะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลงทันที
2.ถ้า แนวโน้มอยู่ในช่วงแนวโน้มขาลงแล้ว ราคามีการปรับตัวขึ้นไป (ปรับฐาน) เส้นค่าเฉลี่ย 55 110 220 จะกลายเป็นแนวต้านของราคาทันที หรือเราอาจจะเรียกมันว่า
เส้นแนวโน้มขาลง
2020-07-24T20:22:58.051-07:00 กฎการลงทุนของ Victor Sperandeo กฎข้อที่ 1 ลงทุนอย่างมีแบบแผน และปฎิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด
ก่อนลงทุน Victor บอกว่าจะต้องรู้เป้าหมายและโอกาสจะไปถึงเป้าหมาย ซึ่งหมายถึงการกำหนดแนวทางในการตัดสินใจ ถ้าเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ และจะต้องรู้ระยะเวลาในการลงทุนของตัวเอง เช่น เราเป็นนักลงทุยระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ความหมายในกฎข้อแรกของ Victor คือก่อนการลงทุนทุกครั้งต้อง “รู้เรา” หรือรู้จัก “ตัวเอง” ก่อน
กฎข้อที่ 2 จงเล่นหุ้นตามแนวโน้มตลาด
Victor แบ่งแนวโน้มตลาดออกเป็น 3 ช่วง คือ แนวโน้ม ระยะสั้น แนวโน้มระยะปานกลาง และแนวโน้มระยะยาว ในแต่ละแนวโน้มจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องรู้ว่ากำลังอยู๋ในแนวโน้มอะไร และอยู่ในช่วงใดของแนวโน้มนั้น ในสังเกตราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากหรือยัง
กฎข้อที่ 3 ใช้วิธีการตัดขาดทุนเมื่อจำเป็นทุกครั้ง
Victor บอกว่าก่อนลงทุนต้องวางแผนว่า เราจะตัดขายขาดทุนในระดับใด เมื่อราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่เราคิด กฎข้อนี้ Victor อธิบายว่า การที่เรายอมขาดทุนเพียงส่วนน้อย ย่อมดีกว่าขาดทุนบานปลายจนเราไม่กล้าตัดสินใต ซึ่งตามหลักการแล้วการตัดขาดทุนไม่ควรให้ราคาหุ้นตกลงไประดับ 10-20 % ของต้นทุน
กฎข้อที่ 4 เมื่อสงสัยในทิศทางตลาด ควรอยู่นอกตลาด
สิ่งที่ Victor แนะนำถ้าเราอ่านตลาดไม่ออก ถ้าไม่มีหุ้นในมือยังไม่ควรซื้อ ถ้ามีหุ้นอยู่แล้ว ควรทยอยลดพอร์ต เข้าบอกว่าไม่ควรเข้าตลาดช่วงที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ฝูงชน ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของความโลภ และความกลัว
กฎข้อที่ 5 จงรอระยะอย่างอดทน และอย่าลงทุนหุ้นมากตัวเกินไป
วิธีทำกำไรที่ดี ควรรอจนปัจจัยร้ายๆต่างๆมีความชัดเจนมากที่สุด และไม่ควรซื้อมากตัวเกินไป ทางที่ดีที่สุดควรซื้อหุ้นไม่เกิน 10 ตัว
กฎข้อที่ 6 ทำกำไรช้า แต่ตัดขาดทุนเร็วๆ
กฎข้อนี้สำคัญมากๆ ในช่วงที่หุ้นกำลังขึ้น Victor บอกว่า ควรปล่อยให้ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆอย่ารีบร้อนขาย แต่ต้องติดตามสถานการณ์อย่าใกล้ชิด ในทางกลับกัน ถ้ารู้ว่าเข้าผิดจังหวะ จะต้องตัดขายออกอย่างรวดเร็ว และให้ถอยออกมาตั้งหลักนอกตลาด
กฎข้อที่ 7 อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
กฎข้อนี้เป็นการเตือนว่า “อย่าโลภมากเกินไป ” บางคนมีวิธีการคือ ถ้าราคาขึ้นไป 1 ใน 3 ของเป้าหมายกำไรที่ตั้งไว้ก็ตัดขายออกมา 1 ใน 3 ส่วนกำไรเพิ่มขึ้น 1 ส่วน ก็ตัดขายออกมา 1 ส่วน เพื่อให้แน่ใจว่า ทำกำไรได้แน่นอน(สรุปได้กำไร2/3ส่วน หากหุ้นมาถึงเป้าหมาย)
กฎข้อที่ 8 ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายเมื่อราคาสูงขึ้น
Victor เน้นย้ำสำหรับนักเก็งกำไร ถ้ามองแนวโน้มใหญ่ยังเป็นขาขึ้น แต่แนวโน้มระยะสั้นราคาอ่อนตัวให้เข้าซื้อลงทุนระยะสั้นได้ (แต่ถ้าแนวโน้มใหญ่เป็นขาลงด้วย อย่าเข้าไปรับเชียว ตามกฎอย่ารับมีดที่ตกจากท้องฟ้า)
กฎข้อที่ 9 เป็นนักลงทุนในช่วงต้นของตลาดกระทิง และเป็นนักเก็งกำไรในช่วงท้ายตลาดกระทิงและ ตลาดหมี
วิธีการลงทุนที่ฉลาด Victor บอกว่า ถ้ามั่นใจว่าตลาดเริ่มพลิกกลับจากหมี มาเป็น กระทิง เราต้องซื้อลงทุน อย่างเล่นเก็งกำไร แต่ถ้าตลาดหุ้นขึ้นมามากแล้ว ซึ่งคาดว่า จะเป็นปลายกระทิง หรืออยู่ในตลาดหมี อย่าเล่นแบบลงทุน ในซื้อขายแบบนักเก็งกำไร(แต่ต้องเตรียมตัดขาดทุนด้วยนะครับ หรือไม่หากเริ่มเจ็บสักครั้ง ก็เลิกมาตั้งหลักดีกว่าครับ)
กฎข้อที่ 10 อย่าใช้วิธีถัวเฉลี่ยการขาดทุน
การถัวเฉลี่ยอาจหมายถึงการ “ถลำลึก” ลงไปเรื่อยๆและปกปิดข้อบกพร่องของตัวเอง Victor ให้เรายอมตัดขาดทุนและรอกลับมาซื้อราคาถูกจะดีกว่า
กฎข้อที่ 11 อย่าซื้อเพราะเห็นว่าราคาถูก และอย่าขายเพราะคิดว่าราคาสูง
หลักเลี่ยงความคิดว่า ราคาได้ตกลงมาถึง “จุดต่ำสุด”แล้วหรือคิดว่า ราคาสามารถ”ผ่าน” สุดสูงสุดเดิมไปได้ ความจริงคืออย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวเป็นตัวตัดสิน Victor บอกว่า เพราะมันอาจจะเป็นความคิดที่ผิด
กฎข้อที่ 12 ให้เล่นหุ้นในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงเท่านั้น
Victor เชื่อว่า ตลาดช่วงที่มีสภาพคล่องต่ำ เป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูงแสดงถึงความไม่มั่นใจในสภาวะตลาดจึงไม่คุ้มที่จะ เข้ามาลงทุน
กฎข้อที่ 13 อย่าเข้าตลาดในช่วงที่มีความผันผวนสูง
ตลาดหุ้นที่ผันผวนสูงมักจะเป็นช่วงปลายของตลาดหุ้นขาขึ้นเป็นช่วงที่นักลง ทุน ขาดการไตร่ตรอง จึ่งเสี่ยงต่อการติดหุ้นสูง
กฎข้อที่ 14 ซื้อหรือขายหุ้นอยู่บนพื้นฐานการตัดสินใจของตนเองเท่านั้น
กฎของ Victor ข้อนี้ บอกให้เราซื้อขายหุ้นบนพื้นฐานการตัดสินใจของเราเองอย่าเล่นตามข่าวลือ เพราะกว่าข่าวลือจะมาถึงทำให้เราก้าวตามหลังคนอื่นหลายก้าว จึกมักจะตกเป็นเหยื่อในที่สุด
กฎข้อที่ 15 ต้องวิเคราะห์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
เขาเน้นย้ำว่า เมื่อนักลงทุนเกิดความผิดพลาดขึ้น ควรนำมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นสาเหตของความผิดพลาดนั้น จะได้ไม่ปกปิดความผิดพลาดจนทำให้การลงทุนครั้งต่อๆไปล้มเหลว
กฎข้อที่ 16 ต้องระมัดระวังข่าวลือเรื่องการ Take Over
ทั้งนี้เพราะข่าวการเทคโอเว่อ จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น ถ้าจะเข้าลงทุนต้องไวพอ
กฎข้อที่ 17 ตรวจสอบราคาซื้อขายให้ชัดเจนก่อนส่งคำสั่ง ซื้อขาย
กฎข้อที่ 18 จดคำสั่งการซื้อขายทุกครั้ง เป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องเมื่อมีการทำผิดพลาดของโบรกเกอร์
กฎข้อที่ 19 รู้และปฏิบัติตามกฎทั้ง 18 ข้อ ( 15 ข้อก็คงพอนะท่าน Victor )
2020-07-24T20:17:43.749-07:00 10 แนวทางการเทรด forex 1. การวางแผนการเทรดและเทรดตามแผนของคุณ(Plan your trade And Trade your plan)
ใน การเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่าราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นจะต้องมีการวางแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ึความประสบความสำเร็จ แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย
1.1 การกำหนด จุดเข้า หรือ สัญญาณในการเข้าเทรด
1.2 การกำหนดจุด ขาดทุน ( Stop Loss)
1.3 การกำหนดเป้าหมายกำไร ( Target)
1.4 การวางแผนทางการเงิน ( Money Management)
1.5 การบริหารความเสี่ยง ( Risk Management)
การ จัดสรรค์การเรดให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาที่ติดลบ หรือ ใกล้จะ Call Margin ( เงินใกล้จะหมด) ไม่ต้องถูกบังคับปิด เช่น มาจิ้นของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรดหรือระบบเทรด คุณสามารถ หาได้จากเ็ว็บนี้ หรือ จาก google ลองหาแผนการเทรดที่เหมาะกับตัวของคุณ ลองทดสอบระบบ และเทรดตามระบบด้วยเงินปลอม อาจจะปรับปรุงให้เหมาะสมกับตัวของคุณ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเทรดของคุณ ซึ่งไม่มีระบบไหนที่ได้ผลการเทรดของคุณออกมา 100% ระบบเทรดที่ดี ควรมีประสิทธิ์ภาพมากกว่า 60 % ไม่ว่าคุณจะได้ระบบเทพ หรือ สุดยอดเทพ ยังไง คุณก็ต้องติดลบก่อน ไม่มีใครไม่เคย ติดลบ
2. แนวโน้มของกราฟ คือเพื่อนของคุณ ( The Trend is Your Friend )
อย่า คิดสวนเทรน ให้หาสัญญาณ Buy/ Long เมื่อ ตลาดอยู่ในสภาวะขาขึ้น ( Bullish Market ตลาดแดนบวก) และหาจังหวะ Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลง (Bearish Market ตลาดแดนลบ)
3. การรักษาเงินลงทุน ( Focus on capital preservation)
สิง สำคัญอีกอย่างสำหรับการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีที่สุด การเปิดคำสั่งเทรดแค่ละคำสั่ง ไม่ควรจะเกิน 10 % ของเงินในบัญชีเทรดของคุณ เช่น เงินทุน 1000 $ คุณควจจะเทรดไม่เกิน 100$ ถ้าไม่มีการรักษาเงินทุนไว้ เงินทุนจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทรดมาก ได้มาก ก็เสียมาก เช่นกัน เมื่อเงินหมด คุณอาจจะท้อ หรือเลิกไปเลย เพราะฉะนั้น ควรจะเล่นน้อยๆ เรื่อย ๆ แล้ว จะประสบผลสำเร็จในตลาดฟอเร็ก ฟอเ็ร็กไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย
4.ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะตัดขาดทุน (Know when to cut loss)
ถ้า ราคาวิ่งตรงข้ามกับที่คุณได้เทรดไว้ หรือคาดการณ์ไว้ สิิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ ตัดเนื้อร้ายออกไป อย่าให้มันรุกราม แล้วหาโอกาสหรือจังหวะดีๆ เพื่อเข้าใหม่ การถือติดลบไว้ เป็นการเสียโอกาสในการหาจังหวะเข้าใหม่ในสัญญาณดีๆ และต้องมานั่งเครียด เพราะกลัวว่า มาจิ้น จะหมด คังคำที่พูดกันว่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย และ ลบน้อยตัดยาก ลบมากตัดง่าย ถ้าเลวร้ายจริงๆ คุณอาจจะโดนคำสั่งปิด Margin Call ดังนั้นเมื่อทำการเทรดทุกครั้ง ควรหาจุด Stop Loss จุดที่คุณควรปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากทีคาดการณ์ไว้ โดนอาจจะกำหนดไว้เลย เช่น Exit stop Loss -20 จุด -30 จุด หรือตั้งไว้ตามแนวรับแนวต้าน Support- Resistance
5. ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส หรือด้วยความพอใจของเรา(take Profit when the trade is good)
ก่อน ทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไร เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดทำกำไร เป้าหมาย (Target) อาจจะกำหนดตายตัว หรือ ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเรา เช่น ทำกำไร 20 จุด หรือ 30 จุด หรือกำหนด ตามแนวรับแนวต้าน ( Support and Resistance) หรือกำหนด โดย Fibonaccy ก็ได้
6. ตัดอารมณ์ออกไป(Be Emotionless)
สอง อารมณ์ ที่มีผลมากให้การเทรด คือ ความโลภ ( Greedy) และความกลัว(fear) อย่าทำให่้สองสิ่งนี้ครอบงำจิตใจของคุณ เพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถเทรดได้ หมั่นฝึกฝนเทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรดที่คุณได้เตรียมไว้ จัดการ กับ การกำหนดจุดเข้า ( Entry Position) จุดออก ( Exit Position) ระบบการเงินของคุณ(Money Management) เพียงแค่นี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จกับฟอเร็กได้
7. อย่าเทรดตามคนอื่น ( Do not trade base on tips from other people)
ควรเทรดตามระบบ ตามสัญญาณ หรือตามแผนที่วางไว้ อย่าเทรดตามคนอื่นโดยเด็ดขาด วิเคราะห์ให้ดีทุกครั้งก่อนการเทรด
8. จดบันทึกการเทรด (Keep A trade journal)
เมื่อ คุณเปิดคำสั่ง ซื้อ (Buy/Long) ให้จด เหตุผลว่าเข้าเพราะอะไร และจดความรู็้สึกตอนนั้นไว้ เมื่อเปิดคำสั่ง ขาย ( sell/Short) ก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วนำมาวิเคราะห์ บันทึก ข้อผิดพลาด ในการเทรด ขำข้อผิดพลาดของคุณที่เกิดขึ้น นำมาเป็นบทเรียน แล้วอย่าทำตามนั้นอีก
9.เมื่อไม่แน่ใจไม่ต้องเทรด( When in doubt, stay out)
เมื่อ คุณไม่มั่นใจหรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาดไม่แน่ใจว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน ให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเทรด ออกไปเดินเล่นหาอย่างอื่นทำ แล้วก็รอตลาดในช่วงต่อไป คุณค่อยมาหาจังหวะการเทรดใหม่
10. อย่าเทรดมากเกินไป ( DO Not Over Trade)
ไม่ ควรเปิดเทรดมากเกินไป ในการเทรดแต่ละครั้งควรมีออเดอร์ที่เปิดทิ้งไว้ ไม่เกิน 3 ออเดอร์ ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมไม่ได้ หรือาจจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอย่าเปิดเทรดจนมากเกินไป
สิ่งที่จะแนะนำเพิ่มเติมคือ ก่อนที่จะเริ่มเทรดด้วยเงินจริงนั้น ควรจะลองเทรดด้วยเงินปลอม เสียก่อนนะครับ อย่างน้อยๆ 1-3 เดือนเป็นอย่างต่ำ
2020-07-24T20:11:34.655-07:00 กลยุทธ์การตั้ง Stop Loss (จุดขาดทุน) “ทำไมราคาวิ่งมาชน Stop loss (SL) ของเราอีกแล้ว” นี่น่าจะเป็นคำถามที่เทรดเดอร์ถามตัวเองแบบเซ็งๆเป็นประจำเมื่อออเดอร์ของเราโดน SL
ที่ มันเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ตลาดจะทำทุกอย่างที่มันอยากจะทำ เคลื่อนไหวไปในทางที่มันอยากจะไป เทรดเดอร์ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆทุกวัน ส่วนมาก็จะเป็นในเรื่องของการเมืองทั่วโลก เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือที่เกี่ยวกับธนาคารกลางที่สามารถทำให้ราคาวิ่งไปใน ทิศทางไหนก็ได้ในเวลาอันรวดเร็วโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นก็หมายความว่า จะต้องมีเทรดเดอร์บางคนที่เปิดออเดอร์ในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับราคาตลาด และต้องเสียเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถควบคุมได้ว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อย่าง นั้น เราสามารถปิดออเดอร์เพื่อตัดการขาดทุนในตอนนั้นเลย หรือว่าคุณจะนั่งรอคอยความหวังว่าราคามันจะกลับมาในที่ที่คุณต้องการ และถ้ามันไม่กลับมาอย่างที่คุณหวังไว้แล้วคุณปล่อยไปอย่างนั้นเรื่อยๆโดยไม่ มีการตัดสินใจ พอร์ตของคุณก็อาจจะสะอาดได้ (ล้างพอร์ต)
คำพูดที่ว่า “Live to trade another day!” น่าจะเป็นคำขวัญของเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคน เพราะ ยิ่งคุณอยู่รอดได้นานเท่าไหร่ คุณก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นเท่านั้น และนั่นก็จะเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จของคุณด้วย
กลยุทธ์การเทรด อีกอย่างที่สำคัญคือการ “stop losses” ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ไว้เพื่อเป็นอาวุธอย่างหนึ่งใน การเทรด การที่มีการตั้ง SL นี้ นอกจากจะช่วยตัดการขาดทุนของคุณเพื่อให้มีโอกาสในการกู้สถานการณ์แล้ว มันยังช่วยขจัดความวิตกกังวลที่เกิดจากการสูญเสียในการเทรดโดยไม่ต้องวางแผน ด้วย และความเครียดที่ลดลงมันก็เป็นผลดีในการเทรดของคุณด้วย
จุด SL ควรจะเป็นจุดที่ “ลบล้างความคิด” ในการเทรดสำหรับออเดอร์นั้นๆของคุณ ดังนั้นเมื่อราคามาถึงจุด SL มันก็น่าจะเป็นสัญญาณว่า “มันถึงเวลาที่ต้องออกจากออเดอร์นี้แล้ว”
การตั้งจะ SL นั้นมี 4 วิธี ที่เราสามารถเลือกใช้ได้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน หรือเลือกแล้วแต่ความถนัดของเรา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
3. หยุดตามความผันผวน
4. หยุดตามเวลา
1. หยุดตามสัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน
การ ตั้ง SL แบบนี้เป็นการตั้ง SL แบบพื้นฐานที่สุด โดยใช้การกำหนดความเสี่ยงจากสัดส่วนของเงินทุนที่อยู่ในบัญชี อย่างเช่นว่า เราเต็มใจที่จะเสี่ยงขาดทุนได้ที่ 2% ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง แต่ว่าเทรดเดอร์ทุกคนจะยอมรับความเสี่ยได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะรับความเสี่ยงได้ถึง 10% ในขณะที่บางคนอาจจะยอมเสี่ยงได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น
และในการตั้ง SL คุณควรจะตั้งตามสภาวะของตลาด หรือตามกฎของระบบเทรดของคุณ ไม่ใช่ว่าตั้งตามจำนวนเงินที่คุณจะยอมสูญเสียได้
สับสนมั้ยคะ งั้นเรามาดูตัวอย่างกัน
นาย แดง มีบัญชีมินิ ที่มีเงินอยู่ $500 และ ขนาด Lot size ที่เขาสามารถเทรดได้คือ 10k ( ในบัญชีมินิ 10k เท่ากับการเทรดที่ จุดละ $1) แดงต้องการที่จะเทรด GBP/USD และเขาเห็นว่าราคาวิ่งอยู่แถวๆแนวต้านที่ระดับ 1.5620 เขาจึงต้องการที่จะเซล และตามกฎการลงทุนของเขาคือ เขาจะไม่เสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนในการเทรดแต่ละครั้ง และสำหรับการเทรดที่ขนาด 10k ของ GBP/USD แต่ละจุดมีค่า $1 และ 2% ของเงินในบัญชีแดงเท่ากับ $10 ดังแดงก็จะตั้ง SL ได้มากที่สุดที่ 10 จุด ดังนั้นแดงจะต้องตั้งจุด SL ของเขาไว้ที่ 1.5630
แต่ ว่า GBP/USD มีการเคลื่อนไหวทีมากกว่า 100 จุดต่อวัน ราคาจึงอาจจะวิ่งมาชนจุด SL ของแดงได้อย่างง่ายดาย เพราะตำแหน่ง SL นั้นจำกัดด้วยการตั้งค่าความเสี่ยงจากเงินในบัญชีของเขา และเขาตัง SL ด้วยโดยยึดตามจำนวนเงินที่เขาสามารถสูญเสียได้ แทนที่จะกำหนดตามเงื่อนไขจากการเคลื่อนไหวของ GBP/USD
และ ในที่สุด ราคาก็วิ่งมาชน SL ของแดง เพราะว่าจุด SL ของเขาที่วางไว้น้อยเกินไป และนอกเหนือจากนั้นคือ เขาเสียโอกาสที่จะเก็บมากกว่า 100 จุดด้วย
จากตัวอย่างนี้คุณได้เห็นถึง อันตรายจากการตั้ง SL จากการใช้สัดส่วนความเสี่ยงของเงินทุน ที่บังคับให้เทรดเดอร์ต้องตั้งจุด SL ในระดับราคาที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของตลาดและอย่างในกรณีนี้ จุด SL ก็อยุ่ใกล้กับจุดเปิดออเดอร์มาก และเป็นการตั้ง SL ที่ไม่ได้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมด้วยเลย (เห็นว่าใกล้แนวต้านก็ใส่เลย ไม่ได้วิเคราะห์อย่างอื่นร่วมเลย)
คุณรู้อยู่แล้วว่า คุณควรจะตั้ง SL ในระดับที่ราคาสามารถจะกลับตัวมาในทิศทางที่คุณคาดคิดไว้โดยไม่ชน SL ของคุณ แต่ในกรณีนี้ราคามันวิ่งไปชน SL เข้าแล้ว จึงหมดโอกาสที่จะทำกำไรได้ และ วิธีแก้ปัญหาสำหรับแดงก็คือ หาโบรคเกอร์ที่เหมาะสมกับสไตร์การเทรดและเงินทุนของเขา
ในกรณีของแดง เขาควรแก้ไขโดยการหาโบรคเกอร์ที่เขาสามารถกำหนดขนาดการซื้อขายที่เล็กลง หรือแม้แต่สามารถกำหนดขนาดเองได้ อย่างเช่น สามารถเทรดที่ขนาด 1k ในคู่เงิน GBP/USD ได้ ซึ่งแต่ละจุด จะมีค่าเท่ากับ $0.10 ซึ่งจะทำให้แดงสามารถตั้งจุด SL ได้ตามเงื่อนไขความเสี่ยงของเขาได้อย่างสบายๆ แดงจะสามารถตั้งจุด SL สำหรับการเทรด GBP/USD ได้ถึง 100 จุด ในความเสี่ยงที่ 2% ของเงินในบัญชีของเขา และตอนนี้เขาก็สามารถตั้ง SL ให้เหมาะสมกับสภาวะของตลาด รวมทั้งเป็นไปตามกฎของระบบการซื้อขาย ตามแนวรับแนวต้านแล้ว
2. หยุดตามรูปแบบของกราฟ
วิธี การหาจุด SL อีกวิธหนึ่งที่เหมาะสมมากกว่าวิธีแรกคือ ตั้งตามรูปแบบของกราฟ เป็นการตั้ง SL โดยยึดตามสิ่งที่ที่ตลาดบอกเราด้วยรูปแบบของตัวมันเอง
เรา สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาได้ ในบางครั้งราคาก็ดูเหมือนไม่สามารถที่จะวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านนั้นๆ และก็มีบ่อยครั้งที่ราคาวิ่งผ่านแนวรับแนวต้านไปได้ในที่สุดหลังจากวิ่งไป วิ่งมาอยู่ในกรอบแนวรับแนวต้านนั้นมาระยะหนึ่ง
การตั้งจุด SL ให้เหนือหรือต่ำกว่าระดับแนวรับแนวต้านนั้นก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในกรณี ที่ราคาไม่ Break ระดับแนวรับแนวต้าน แต่ถ้าราคาสามารถ break กรอบราคานั้น ก็จะทำให้เทรดเดอร์อื่นๆเห่เข้ามาเล่นด้วยเมื่อเห็นการทะลุของราคา (Breakout) และเทรดเดอร์เหล่านั้นอาจจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับออเดอร์ ของคุณ(ที่เล่นอยู่ในกรอบราคา) ได้ และอย่างที่คุณทราวว่าเมื่อเวลาพักตัวอยู่ในกรอบราคานั่นหมายถึงการสะสมพลัง ซึ่งเมื่อราคาเกิดการ Breakout แล้วก็มีแนวโน้มมากที่ราคาอาจวิ่งพุ่งเป็นเทรนไปในทิศทางนั้นๆ ต่อไปเรามาดูตัวอย่างการตั้ง SL อีกอย่างหนึ่งเมื่อเกิดการ Breakout ของราคา
จากตัวอย่างเป็นการตั้ง SL โดยยึดตามแนวรับแนวต้าน
ตาม ภาพตัวอย่างเราเห็นได้ว่าราคามีการซื้อขายกันอยู่เหนือเส้นแนวรับ (สีดำ) และเมื่อราคาวิ่งทะลุผ่านแนวต้านด้านบน (สีแดง) ไปได้คุณก็คิดว่ามันการ Breakout ที่สวยงาม และคุณตัดสินใจที่จะซื้อตามแนวโน้มนั้น แต่ก่อนอื่นคุณต้องตั้งคำถามก่อนว่า ตรงไหนที่คุณจะตั้ง SL ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดคิดไว้ และเงือนไขอะไรที่จะบอกคุณได้ว่า ความคิดของคุณในการเข้าซื้อครั้งนี้ไม่ถูกต้อง
ใน กรณีนี้ การตั้ง SL ที่สมเหตุสมผมมากที่สุดคือ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับ (สำดำ) และเส้นเทรนไลน์ (สีแดง) และถ้าราคาวิ่งผ่านเส้นเทรนไลน์นี้ลงมาได้ ก็หมายความว่า มีแรงซื้อไม่พอและตอนนี้ผู้ขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาด ดังนั้นความคิดของคุณในการเปิดออเดอร์ซื้อในครั้งนี้จึงเป็นความผิดพลาด และถึงเวลาที่คุณควรจะออกจากออเดอร์ของคุณและยอมรับการสูญเสีย คุณจะเห็นราคาวิ่งในลักษณะนี้ได้บ่อยมากในคู่เงิน EUR/USD
Macd forex คืออะไร และ macd color – การตั้งค่า macd ที่เหมาะสม
2020-07-26T04:15:28.751-07:00 ผลงานการรันอีเอตัวใหม่ วันที่ 25/07/57
2020-07-26T04:11:49.804-07:00 ผลงานการรันอีเอ 5 ตัว ใน 1 บัญชี
2020-07-22T04:11:10.266-07:00 ผลงานการรันอีเอ ตัวใหม่ ทำกำไร ได้ มากกว่า 100% ต่อเดือน 22/07/2020
2020-07-20T03:08:40.759-07:00 ผลงานอีเออีกตัว ชื่อ Flowtrand
2020-07-19T17:35:15.577-07:00 ผลงานบางส่วนการรันอีเอตัวใหม่ กำไรมากกว่า 100% ต่อเดือน
2020-03-07T22:36:26.778-08:00 ผลงานการเทรด ตามวิธีเล่นหุ้นให้รวย ซิกเทพ รอบบ่าย7/3/2020
2020-03-07T01:05:32.367-08:00 ซิกเทพ และอินดี้เทพ ผลงานจากการเทรด ตามซิก และอินดี้เทพ และการเทรดตามเทคนิค วิธีเล่นหุ้นให้รวย ตามบทความที่ให้ไปก่อนหน้านี้
2020-07-15T03:44:41.212-07:00 วิธีเล่นหุ้น เทรดForex ให้รวย
ลงทุน 7 $ เป้าหมายจะทำให้เป็น 5,000 $ ภายใน 3 เดือน
เริ่มเข้าเทรด
2020-06-01T02:06:25.359-07:00 การใช้ EA ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2020-01-19T19:37:42.489-08:00 การเทรดอย่างฉลาด วิธีการเทรดทำเงินอย่างไรถึงจะได้ผล
1. เงินลงทุนไม่ควรมีน้อยเกินไป ควรเริ่มต้นที่ 50$ หรือ 100$ กำลังดี
2. จิตใจต้องนิ่ง ไม่โลภ ได้แล้วต้องปิด
3. เครื่องมือต่าง ๆ หรือตัวช่วย เราต้องมี เช่น Indicator Signalจากเวปต่าง ๆ ข่าว อื่น ๆ เพื่อมาช่วยให้เราวิเคราะห์ทิศทางของกราฟ
4. แผนการเทรดของเรา ให้เหมาะสมกับเงินทุน
จุดเหมาะสมและเทคนิคที่ดีที่สุดคือการเทรด Lot 0.1 TP ไว้ 3 จุดปิด หรือ ระหว่าง 3-5 จุด แต่ไม่ควรเกิน 5 จุด หากเราเข้าซื้อ 1 วัน 50 ครั้ง โดยแบ่งเป็น บ่าย 25-30 ครั้ง และกลางคืน 25-30 ครั้ง เท่ากัน ก็เท่ากับว่า ท่านได้กำไรมากกว่าวันละ 100$ ครับ
tag:blogger.com,1999:blog-2503622002401535626.post-4177233490054272531
2020-05-31T02:46:05.757-07:00 Fibonacci Retracement
เป็นวีดีโอสอนการใช้ Fibonacci Retracement เพื่อหาแนวรับ แนวต้าน จุดเข้าจุดออก และเป้าหมายของราคา
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการเทรด
เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ http://thaiforexschool.com/index.php?board=6.0 เว็บวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคของนักลงทุนรุ่นใหม่
2020-05-31T02:46:05.757-07:00 รูปแบบแท่งเทียน รูปแบบกราฟแท่งเทียน (CandleStick Chart Pattern)
ที่่มา http://9professsionaltrader.blogspot.com รูปแบบกราฟแท่งเทียน
What ‘s Candle Stick Chart ? กราฟแท่งเทียนคืออะไร
กราฟ แท่งเทียนเป็นกราฟที่แสดงราคาของหุ้นตัวนั้น ซึ่งจะแสดงราคาเปิด ( Open Price ) ราคาปิด(Close Price) ราคาสูงสุด ( High Price) และราคาต่ำสุด( Low Price ) โดยต้นกำเนิดของกราฟแท่งเทียนมาจากประเทศยี่ปุ่นโดยมีประวัติย้อนหลังยาวนาน มาก โดยนาย Munehisa Homma เป็นผู้คิดค้นจากการวิเคราะห์จิตวิทยาของคนในการซื้อชายและกำหนดราคาข้าว และเขาได้เขียนหนังสือไว้สองเล่มคือ Sakata Henso และ Soba No Den เมื่อประมาณ พ.ศ. ที่ผ่านมาประเทศกลุ่มตะวันตกทั้งหลายได้เห็นถึงประสิทธิภาพจึงได้นำมา ประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้น ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดเงินตราระหว่างประเทศ โดยรูปแบบต่างๆของกราฟแท่งเทียนนั้นมีอยู่ด้วยกันมากกว่า 50ประเภท แต่เรานำมาประยุกต์ใช้กับตลาด ณ ปัจจุบันเพียงและเกิดขึ้นบ่อยๆ เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
รูปร่างทั่วไปของแท่งเทียน General Of CandleStick Sharp
แท่ง เทียนจะประกอบด้วย ราคาปิด ราคาเปิด ราคาต่ำสุด ราคาสูงสุด ซึ่งระยะระหว่างราคาปิดและราคาเปิดเราจะเรียกว่า ตัวแท่ง ( Body) ใส้เทียนด้านบน คือ Upper Shadow และ ใส้เทียนด้านล่าง Lower Shadow
ลักษณะของแท่งเทียนมีอยู่ สาม แบบ คือ
1. แท่งเทียนขาขึ้น Bullish Candlestick ลักษณะของแท่งเทียนขาขึ้นนี้ ราคาปิดจะอยู่สูงกว่าราคาเปิด
bullish candlestick แท่งเทียนขาขึ้น |
2.แท่งเทียนขาลง Bearish Candlestick ลักษณะของแท่งเทียนขาลงคือ ราคาปิดจะต้องต่ำกว่าราคาเปิด
bearish candlestick แท่งเทียนขาลง |
3.Doji โดจิคือ ราคาเปิดและราคาปิดของแท่งเป็นราคาเดียวกัน หรือ อยู่ใกล้เคียงกันมากๆ
doji ราคาปิดและราคาเปิดอยู่ตำแหน่งเดียวกัน |
รูปแบบของแท่งเทียน (Candlestick Pattern ) มีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ
1.รูปแบบของแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick Pattern)
2.รูปแบบของแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick Pattern)
3.รูปแบบของแท่งเทียนแบบต่อเนื่อง (Continuous Candlestick Patern)
รูปแบบกราฟแท่งเทียนที่มักจะพบบ่อยที่สุด มีดังนี้
Hammer มักจะบอกเราอยู่เสมอว่า ราคากำลังจะเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้น
Hanging Man: รูปแบบของ Hanging man จะคล้ายกับ Hammer แต่จะเกิดกับแนวโน้มขาขึ้น ถ้าเกิด Hanging man กราฟมันกำลังบอกเราว่า แนวโน้มกำลังจะเปลี่ยนจากขาขึ้นกลายเป็นขาลง ให้รอสัญญาณยืนยันจากแท่งเทียนขาลงอีกแท่ง
Harami: รูปแบบนี้จะประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งแท่งเทียนขาขึ้นสีขาวและแท่งเทียนสี ดำ เมื่อมีแท่งเทียนปิดตัวลงได้เกิดแท่งเทียนสีดำเล็กขึ้น โดยแท่งเทียนสีดำอยู่ระหว่าง Body ของแท่งเทียนสีขาว แท่งเทียนแบบ Harami นี้จะบอกการกลับตัวจากแนวโน้มเดิม
2020-05-31T02:46:05.758-07:00 หนังสือ Elliott Wave Elliott Wave E-Book หนังสือสำหรับการศึกษาทฤษฎีคลื่น Elliott Wave
ชื่อหนังสือ Mastering Elliott Wave แต่งโดย Glenn Neely
2020-05-31T02:46:05.758-07:00 จิตวิทยาในการเล่นหุ้น จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
จากหนังสือ คัมภีร์หุ้น
ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยากขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี”อคติ”ยอมขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ”คาดคะเน” ใช้ “สมอง”ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ”อารมณ์”มากกว่า “เหตผล”ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียนเก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตมากกว่าเหตผล
นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า “นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มีใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก” เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง “มวลชน” แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า”มวลชน”นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น”เรา “และ “ท่าน” นั้นเอง พฤติกรรมของ “มวลชน” ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่”ปฏิบัติ”ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจากอุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
ใน”วิกฤติ มีโอกาส” แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณอาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่างสมเหตสมผล หมดไปด้วย
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า “ดี” จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า “ดีจริงหรือ” ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า “จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ”
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความเป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์”ความกลัว” และ “ความโลภ” ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam’s Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า”ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ”จับตลาด”จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
เขาตั้งคำถามว่า “หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ ”
ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น จากหนังสือหลายๆเล่ม พอสรุปเหมือนกันได้ดังนี้
อ่านต่อบทความต่อไปครับ
tag:blogger.com,1999:blog-2503622002401535626.post-2521193420200872226
2020-05-31T02:46:05.758-07:00 Divergence and Convergence Trading Divergence and Convergence Trading
สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน วันนี้ขอนำเสนอ วิธีการเทรดโดยการดู Divergence วิธีนี้เทรดเดอร์มือใหม่ควรจะเรียนรู้เอาไว้นะครับ เพราะสามารถใช้ทำกำไรได้ดีทีเดียว เทรดเดอร์บางคนเทรดมาหลายปีแล้วยังไม่รู้เลยครับ ว่า Divergence และ Convergence คืออะไร วันนี้ 9professionaltrader จะเขียนบทความให้อ่านนะครับ
Divergence เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในการวิเคราะห์ ในตลาดฟอเร็กซ์หรือแม้แต่ตลาดหุ้น เพราะ Divergence เป็นวิธีการเทรดที่ง่ายและเข้าใจง่าย
- Divergence คือ การแยกออกจากกัน ความขัดแย้งกันของราคาและตัวชี้วัด(Indicator) หมายความว่า ทิศทางของราคาและทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะตรงกันข้ามกัน
- Convergence คือ การลู่เข้ามาหากัน ลู่เข้ามาบรรจบกัน ในการวิเคราะห์เราจะหมายความว่า ทิศทางของราคา และทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะไปในทิศทางเดียวกัน
ตัวชี้วัด Indicators ที่ใช้ในการดู Divergence และ Convergence ที่ใช้กันทั่วไป ส่วนมากจะเป็น Oscillators Indicator คือ Indicators ที่วัดการแกว่งของราคา ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) , Moving Average Convergence Divergence (Macd) , Stochastic Slow (Sto) , Commodity Channel Index และ William’s Percent Range (W%R)
ตัวชี้วัดเหล่านี้ ผมได้ทดลองใช้แล้วพบว่าดีที่สุดสำหรับการดู Divergence
- Divergence มี 2 ประเภท คือDivergence Bullish คือ ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดเก่า (Low) แต่ตัวชี้วัด(indicator) ทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า(Low) ดูรูปด้านล่างครับ
Bullish Divergence
จากรูปจะเห็นว่าความชันของ Indivator จะเป็นบวก -ทริคในการดู Bullish Divergence ให้ได้ผลออกมาดีที่สุด คือ เราต้องรอให้ราคาที่มาทำ New Low มีการดีดตัวกลับก่อน ตรงตำแหน่ง New Low ต้องเกิด Bullish Candle คือมีการดีดตัวกลับ แล้วเราจึงมาดู Indicator ว่า New Low มันสูงกว่า Low เดิมมั้ย ถ้ามันสูงกว่า นี่คือสัญญาณ Bullish Divergence เราสามารถเปิดออเดอร์ Buy(Long) ได้เลยครับ 2020-05-31T02:46:05.758-07:00 ผลงานการเทรดของสมาชิก blog 9prof สัปดาห์นี้ขอนำเสนอผลงานของ nana ครับ วันนี้ขอโชว์ผลงานของนานาหน่อยนะเพื่อนๆ พอดีเธอส่งผลงานมาให้ผมดู เห็นแล้วน้ำลายไหล อยากได้ซัก 2 ดอล 555+ ผลงานยอดเยี่ยมครับ กำไร มากกว่า 50 % กับผลงาน 1 อาทิตย์ ดูจากการเปิดออเดอร์แล้ว เธอ Buy อย่างเดียวครับ ดูจาก Statement เทรดทั้งหมด 93 ครั้ง Win Trade 84ครั้ง Loss Trade 9 ครั้ง คิดเป็นเปอร์เซน 90.32% win สุดยอดครับ ดูจากกราฟ จะเห็นว่ากราฟร่วงลงมา นั่นไม่ใช่เทรดเสียนะครับ เธอเบิกไปกินขนม โอ้ว..แม่เจ้า ขนมห่อล่ะ 800 ดอล ร่ำรวยครับ นานา ขอให้รักษาระดับการเทรดของตัวเองให้ได้แบบนี้ตลอดนะครับ 2020-05-31T02:46:05.759-07:00 Forex Brokers Forex Brokers สำหรับการเทรด Forex โบรกเกอร์ที่ 9professionaltrader ใช้เทรดมีทั้งหมด 3 โบรกหลักๆคือ Instaforex Fxopen และ Exness ซึ่งผมจะเปรียบให้ดูกันว่าแต่ละโบรกเกอร์มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ดูรายละเอียดที่ด้านล่างเลยครับ Instaforex เป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับความยอดนิยมมาก ณ ตอนนี้ จุดเด่นของโบรกนี้คือ เรื่องโบนัส ให้โบนัสเยอะมาก 30% ของเงินฝาก รายละเอียดทั่วไปของโบรกเกอร์ Instaforex
tag:blogger.com,1999:blog-2503622002401535626.post-9158241914495667468 2020-05-31T02:46:05.759-07:00 เคล็ดลับในการใช้โปรแกรมเทรด MT4 , Hot Key และการตั้งค่าต่างๆในโปรแกรมเทรด เคล็ดลับในการใช้โปรแกรมเทรด MT4 , Hot Key และการตั้งค่าต่างๆในโปรแกรมเทรด -การใช้ Full Screen เต็มจอ: กด F11 เพื่อขยายดูกราฟเต็มจอ และกด F11 เพื่อคืนค่าเดิม -ctrl+m=Market watch ตารางแสดงค่าเงิน -ctrl+n= Navigator ในส่วนของ Navigator นี้จะแสดง Account , Expert advisor , Indicators , Custom Indicators และ Scripts -Ctrl+t=Terminal จะแสดงหน้าต่างการเทรดของเราเอง ซึ่งจะมี Trade , Account History,News, Alerts , Mailbox,Expert และ Journal นอกจากนี้เรายังสามารถลาก (Drag) Terminal ไปไว้ตรงไหนก็ได้ โดยการคลิกซ้ายค้างที่ Terminal แล้วก็ลากไปใส่ไว้บนกราฟ -Ctrl+d =Data window เป็นการแสดงรายละเอียดของกราฟเรา การใช้ Hot Key : การใช้ Hot Key เพื่อความสะดวกในการเปิดปิดออเดอร์ การใช้ Indicators , Scripts , EA ตัวต่างๆ เราสามารถสร้างกำหนด Hot Key ให้ใช้งานบนคีบอร์ดของเราได้ เช่น ผมต้องการที่จะใช้ MACD โดยไปที่ Ctrl+n ( Navigator) เลือก Custom Indicators แล้วเลือก Macd จากนั้น คลิกขวา เลือก Set hotkey ตัวอย่างการ Set hotkey ของ 9prof นะครับ ช่อง Control จะมีให้เราเลือก 2 อัน คือ Ctrl กับ Atl และช่อง key ให้เราใส่ตัวอักษร หรือตัวเลข ที่เราต้องการกำหนดลงไป 2020-05-31T02:46:05.759-07:00 คำสั่งพิเศษ Scripts Close all สำหรับใช้ปิดออเดอร์ 5.จากนั้นให้เปิด Navigators หรือกด Ctrl+N ก็ได้ แล้วเลือก Script ( Close all Open and pending orders) แล้วลากไปใส่กราฟเลยครับ ดังรูป นี่เป็นตัวอย่างที่ผมเปิดออเดอร์ไว้เพื่อทดสอบ สคริป Closse all จากนั้น สคริปก็จะทำงานครับ ปิดเร็วหรือไม่เร็ว ขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเตอร์เนตของเราด้วยนะครับ แต่ผมรับรองว่าปิดเร็วกว่าปิดมือแน่นอน ออเดอร์ของผมทั้งหมดปิดภายใน 10 วินาที อีกหนึ่งตัวอย่างครับ ของแถม เอาไว้ตั้งเวลาปิดได้ เช่น สมมติว่าผมเปิดออเดอร์ไว้ที่ สิบโมงเช้า แล้วผมอยากปิดออเดอร์ที่ 10.30 น ผมก็สามารถใช้อีเอตัวนี้ได้ แล้วก็กด OK เลยครับ เมื่อถึงเวลาที่เราตั้งไว้ ออเดอร์ของเราก็จะปิดทันทีครับ วันนี้ 9prof ใจดี ขอแถมอีกหนึ่งครับ เป็น อีเอ Close Open Orders by set Pair After set Accountprofit EA ตัวนี้เป็น อีเอสำหรับปิดเมื่อเราได้กำไรแล้ว สามารถตั้งค่าได้ ลองเอาไปใช้กันนะครับ วันนี้ 9prof ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ ใครมีคำถาม ถามได้เลย ที่ช่องคอมเม้น ครับ ขอบคุณมากครับ 2020-05-31T02:46:05.759-07:00 วิธีการเทรดข่าวนอนฟามในสไตล์ของ 9professionaltrader (Trading Non-Farm Payroll Style 9Professionaltrader) การเทรดข่าวนอนฟาม Non-Farm Payroll วิธีนี้ ที่ผมได้ใช้เป็นประจำในการเทรดข่าวนอนฟาม นอกจากข่าวนอนฟามแล้ว ก็ยังสามารถใช้กับการเทรดข่าวแดงๆแรงๆ (High Impact) ได้ทุกข่าว หลักการนี้ผมจะเรียกมันว่า Break out Entry Setting การตั้งราคาเข้าเมื่อมันทะลุ (ชื่อนี้คิดสดๆเลยครับ) หลักการของมันคือ
หากเพื่อนๆคนไหนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเทรดข่าว สามารถถามได้นะครับ ยินดีตอบให้เสมอ .. 9prof 2020-05-31T02:46:05.759-07:00 การใช้ Bollinger band ควบคู่ไปกับ Relative Strength Index และ Stochastic Slow ในตลาดฟอเร็กซ์ การใช้ Bollinger band ควบคู่ไปกับ Relative Strength Index และ Stochastic Slow ในตลาดฟอเร็กซ์
สำหรับบทความนี้นะครับ จะเป็นเรื่อง การใช้ Bollinger Band ผมจะอธิบายตามหลักที่ผมเข้าใจนะครับ – แล้วมีจุดสังเกตมั้ยว่ากราฟกำลังสะสมกำลังจะพุ่ง มาดูกันต่อนะครับ ว่า Bollinger band มีวิธีใช้อย่างไร 2.DownTrend ชนขอบล่างแล้วทะลุขอบล่างลงมา เมื่อราคาเกาะขอบล่างลงมา ราคาจะไปต่อได้เรื่อยๆ วิธีสังเกตคือ ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนปิดใกล้กับเส้นขอบล่าง นั่นหมายความว่า แนวโน้มลงยังคงดำเนินต่อไป และแนวโน้มขาลงมักจะเคลื่อนที่แบบต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่าแนวโน้มขาขึ้นมากๆ 3.Sideway เมื่อราคาไซด์เวย์ โบลินเจอร์แบนจะเคลื่อนตัวขนานราบ (Flat) หลักการเทรดด้วย Flat แบบนี้ก็คือ เมื่อราคาชนขอบบนแล้วมีแท่งเทียนกลับตัว ให้เปิดออเดอร์ Sell ทันที และเมื่อราคาชนขอบล่างแล้วมีแท่งเทียนกลับตัวขึ้นไป ให้เปิดออเดอร์ Buy ทันทีครับ ดังรูปตัวอย่างด้านล่าง ด้านบนเป็นตัวอย่างการเข้าซื้อ ขายโดยใช้ Bollinger Band นะครับ จากรูปดูเหมือนง่ายนะครับ เพราะว่ามันเป็นกราฟย้อนหลัง การดูสัญญาณเพียวๆจากโบลินเจอร์แบนตัวเดียวค่อนข้างจะยากนิดนึงครับ เราต้องอาศัยดูแท่งเทียนตอนกลับตัวด้วย แต่อินดี้ตัวนี้จะเหมาะกับพวกชาวสวนมากกว่า เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องหาอินดิเคเตอร์อีกตัวเพื่อเป็นตัวกรองสัญญาณอีกทีครับ เพื่อใช้ร่วมกับ Bollinger band Indicator ตัวแรกที่ใช้กับ Bolinger band คือ Relative Strength Index (RSI) ; RSI เป็นตัวชี้วัดที่บอก Overbought ( Above 70 ) และ OverSold (Below 30) และ Pivot (50 level) 1. RSI อยู่เหนือ Level 70 ; แบบนี้บ่งบอกว่าราคาได้ขึ้นมากแล้ว และกำลังจะกลับตัว ดูกราฟเลยครับ 2.Rsi อยู่ต่ำกว่า Level 30 ; ถ้า Rsi บ่งบอกแบบนี้หมายความว่า ราคาได้ลงมามากแล้ว และพร้อมที่จะกลับตัวขึ้นไปอีกครั้ง ดูภาพด้านล่างประกอบเลยครับ จากรูปเห็นมั้ยครับ Rsi เกิด Oversold แล้วขณะที่ราคาแท่งเทียนทะลุขอบล่างแล้วกลับตัวขึ้นไปอีก แบบนี้ให้เราสังเกตไว้เลยครับ ว่าถ้า Rsi เกิด Oversold แล้วมีแท่งเทียนกลับตัว ให้เราเตรียมตัวเปิดออเดอร์ Buy ได้เลยครับ แล้วตั้ง Stop Loss ไว้ที่ Low ของแท่งเทียนก่อนหน้านั้น 3. RSI ที่ Level 50 (Pivot) โดยส่วนมากนะครับ Level 50 นี้ จะมีสำคัญมาก เทรดเดอร์บางท่านใช้ Level 50 นี้แหระครับ ในการตัดสินใจเทรด ถ้าทะลุ Level 50 ขึ้นไปก็ Buy ตาม แต่ถ้า Rsi ทะลุ Level 50 ลงมา ก็ Sell ตาม ดังรูปด้านล่างครับ 2020-05-31T02:46:05.760-07:00 การใช้ Fibonacci Retracement Fibonacci เป็นเครื่องมือเครื่องมือที่ใช้วัดหา แนวรับ –แนวต้านและหาราคาเป้าหมายของราคาในตลาดForex เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ใช้กันมากเพราะ Fibonacci ใช้ง่าย และเป็นพื้นฐานที่เราควรจะรู้ วิธีการใช้ Fibonacci ก่อนอื่น เรามาตั้งค่า Fibonacci ในโปรแกรม Mt4 ของเราก่อน ถ้าใครยังไม่รู้ ให้ไปดาวโหลดและดูวิธีการสมัครขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม Mt4 สำหรับเทรด forex -เมื่อเรามี Fibonacci อยู่บน Chart แล้ว ให้ คลิกขวาที่ Chart เลือก Objects List แล้วเลือก Fibo จากนั้นเลือก Edit -เมื่อ ทำเสร็จแล้วจะได้ดังรูป การใช้ Fibonacci Retracement เมื่อราคาได้เคลื่อนตัวลงมาแล้ว ราคาจะขึ้นไปปรับตัวที่ระดับ Fibonacci Retracement 38.2 , 50.0 และ 61.8 เราสามารถใช้ จุดเหล่านี้เป็นแนวต้านของราคาได้ ถ้าราคาไม่สามารถผ่านแนวต้าน (resistance ) นี้ได้ ราคาก็จะปรับตัวลงต่อ และมาทดสอบที่ Low เดิม แต่ถ้าสามารถผ่าน แนวต้านนี้ได้ ราคาก็จะกลับไปทดสอบ High เดิม เช่นเดียวกัน จากรูปด้านบน จะเห็นว่า ราคาสวิงขึ้นจาก Low ไปที่ High แล้วราคามีการปรับตัวลงมา ตำแหน่งที่ปรับฐาน หรือ แนวรับ ที่เราควรจะสังเกตก็คือ ที่ระดับ Fibonacci Retracement 61.8 , 50.0 และ 38.2 จากรูปด้านบนจะเห็นว่าราคาไม่สามารถผ่าน 50.0 ไปได้ หรือบางครั้งเราอาจจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า Pivot Point เมื่อราคาดีดตัว ตรงนี้ เราก็คาดการณ์ได้เลย ว่ามันต้องขึ้นแน่ๆ ก็ เปิด Long (Buy) ได้เลย แล้ว ตั้ง TARGET ไว้ที่ Fibonacci Retracement 161.8 tag:blogger.com,1999:blog-2503622002401535626.post-8704601824328200302 2020-05-31T02:46:05.760-07:00 The 5 Steps to becoming a trader The 5 Steps to becoming a traderStep One: Unconscious Incompetence. This is the first step you take when starting to look into trading. you know that its a good way of making money because you’ve heard so many things about it and heard of so many millionaires. Unfortunately, just like when you first desire to drive a car you think it will be easy – after all, how hard can it be? Price either moves up or down – what’s the big secret to that then – lets get cracking! Step Two – Conscious Incompetence Step two is where you realise that there is more work involved in trading and that you might actually have to work a few things out. You consciously realise that you are an incompetent trader – you don’t have the skills or the insight to turn a regular profit. Step 3 – The Eureka Moment Towards the end of stage two you begin to realise that it’s not the system that is making the difference. You realise that its actually possible to make money with a simple moving average and nothing else IF you can get your head and money management right You start to read books on the psychology of trading and identify with the characters portrayed in those books and finally comes the eureka moment. Step 4 – Conscious Competence You are making trades whenever your system tells you to. You take losses just as easily as you take wins You now let your winners run to their conclusion fully accepting the risk and knowing that your system makes more money than it looses and when you’re on a loser you close it swiftly with little pain to your account Step Five – Unconscious Competence Now we’re cooking – just like driving a car, every day you get in your seat and trade – you do everything now on an unconscious level. You are running on autopilot. You start to pick the really big trades and getting 200 pips in a day doesnt make you any more excited that getting 1 pips. |